กำเนิดและที่ตั้ง
ยุคสมัยที่เมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทั้งพม่าและกรุงศรีอยุธยา หมายยึดครองเป็นทางผ่านในการกรีฑาทัพไปรบกันทั้งพม่าและกรุงศรีอยุธยาผลัดกันยึดครองมาโดยตลอดจากยุคสมัยอันเกรียงไกร บุเรงนอง ที่เข้ายึดเชียงใหม่ได้ครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ.๒๑๐๑ แล้วอีก ๑๐๓ ปี ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ยึดคืนเมื่อ พ.ศ.๒๒๐๔ ครั้น พ.ศ. ๒๒๑๕ พระยาพุกาม ก็กรีฑาทัพกลับไปอีกและถูกกดขี่ข่มเหงเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.๒๒๕๐ชาวเมืองจึงไม่มีแก่ใจทำมาหากินเพราะได้มาเท่าไรก็มีคนมาเอาไปหมดโรคภัยไข้เจ็บก็คุกคามเดือดร้อนกันทั่วทุกหย่อมหญ้าและแค้นใจ เหนือสิ่งใดก็คือ เหลียวมองไปทางไหน ไม่มีสัญลักษณ์ของความเป็นไทยให้เห็นเลยมีแต่ เสาหงส์ อันเป็นเครื่องบ่งชี้ของพม่าและมอญไม่ว่าจะเป็นที่ เชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง มีแต่ เสาหงส์ และรูปสิงห์ ให้บาดตาตรึงใจไปหมด สุดที่คนรุ่นใหม่ในสมัยนั้นจะทนดูดายต่อไปได้จึงร่วมแรงร่วมใจคบคิดช่วงชิงเมืองมาให้ได้
ต่อมา พ.ศ.๒๒๗๐ เทพสิงห์ หนุ่มน้อยแห่งเมืองยวมใต้ (อ.แม่สะเรียง ในปัจจุบัน)รวบรวมสมัครพรรคพวกได้แต่จำนวนร้อย
ตีเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ สามารถขับไล่กองกำลังอันเกรียงไกรอย่างห้าวหาญ เข่นฆ่าล้างผลาญ แทบไม่หลงเหลือ จับตัว โป่มังแรนร่า นายทัพใหญ่ของพม่านั่งบัลลังก์ครองเมืองเชียงใหม่ มาสำเร็จโทษ ที่เหลือก็กระเจิดกระเจิงไปรวมกับพวกพม่าที่ยึดครองเมืองเชียงแสน
เทพสิงห์ ก้าวขึ้นรักษาเมืองเชียงใหม่ โดยยังคงให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่เป็นคนไทย ( แต่ดำรงตำแหน่งขณะพม่ายึดครองนั้น) ยังคงดำรงตำแหน่งเดิมโดยหาเฉลียวใจไม่ว่า ในจำนวนนั้นมี คนไทยใจทาส ปะปนอยู่ด้วยคือ พญาวังหางตั๋น คนไทยใจพม่าที่ล้วงความลับฝ่ายใน แล้วนำไปวางแผนคบคิดกับฝ่ายพม่าในหัวเมือง อื่น ๆ รวบรวมพลได้ ๔๐๐ คน เข้าปล้นเชียงใหม่ ในยามราตรี เทพสิงห์
ไม่ได้ระวังหอกข้างแคร่ จึงเสียทีต้องหนีกระเจิดกระเจิงไปอย่างบอบช้ำที่สุด พญาวังหางตั๋น จึงไปกราบทูลความดีความชอบของตนเอาเมืองเชียงใหม่ให้ พระเจ้าอังวะ ถึงประเทศพม่าไม่ผิดอะไรกับ พระยาจักสี ที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาล่ม
เทพสิงห์ เห็นเหลือกำลังที่จะคืนชิงมาได้ โดยลำพังจึงไปหารือกับ เจ้าธรรมปัญโญ เจ้านครน่าน เจ้าธรรมปัญโญ เห็นเป็นคนไทยด้วยกัน ประกอบกับความมุ่งหมายและผลงานที่เทพสิงห์ ชิงเมืองมาได้ตั้งหลายครั้งทั้งๆ ที่มีกำลังพลน้อยนิด จึงยกกำลังมาสมทบ แต่ความลับรั่วถึงหูของ เจ้าองค์ดำ คนต่างด้าวท้าวต่างเมืองที่ครอง เชียงใหม่ ขณะนั้น จึงกรีฑาทัพออกไปดักซุ่มโจมตีที่ เวียงป่าซาง เจ้าธรรมปัญโญ ต้องอาวุธในสนามรบ กองกำลังนครน่าน จึงเสียขวัญเตลิดไป ทำให้ เทพสิงห์ ต้านกำลังโดยลำพังไม่ไหว ต้องแตกกระเจิงและหายสาบสูญไป สันนิษฐานว่าคงเสียชีวิตแล้ว เพราะหาไม่แล้ว ก็ต้องยกทัพกลับเข้ามาอีก เป็นที่รู้กันดีว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วไม่กลับมาสู้ ก็ไม่ใช่ เทพสิงห์
จากวีรกรรมของ เทพสิงห์ ซึ่งถือว่าเป็นวีระบุรุษเมืองยวมใต้ ที่กล่าวข้างต้น พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชการที่ ๙ องค์ปัจจุบัน ได้พระราชทานนาม เทพสิงห์ เป็นชื่อ ค่ายเทพสิงห์
เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่หนุ่มเทพสิงห์ผู้กล้าแห่งเมืองยวมใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยของกองพันทหารราบที่๔ กรมทหารราบที่ ๗ เมื่อ ๕ มิ.ย.๒๕๒๘ โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ บ.ห้วยหลวงหมู่ที่ ๖ ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน กองพันทหารราบที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๗ เป็นกองพันทหารราบเบาจัดตั้งตาม คำสั่ง ทบ.(เฉพาะ) ลับที่ ๘๗/๒๕ เรื่องการจัดตั้งกองพันทหารราบเบา ลง ๒๖ เม.ย.๒๕
โดยมี พ.ท.สมบูรณ์ เอี่ยมโอภาส เป็นผู้บังคับกองพัน เดิมมีที่ตั้งชั่วคราวในค่ายสุรศักดิ์มนตรี อ.เมือง จ.ลำปาง โดยเมื่อ ๑๙ - ๒๙
เม.ย.๒๘ ได้เคลื่อนย้ายเข้าที่ตั้งปกติถาวร บ.ห้วยหลวง หมู่ที่ ๖ ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ด้วยการเดินเท้าประกอบการฝึกยุทธวิธี นับเป็นเกียรติประวัติสำคัญ ศูนย์การทหารราบ จึงได้มอบเครื่องหมายทหารราบให้ในฐานะที่เป็นหน่วยทหารราบดีเด่น ที่ได้สร้างคุณประโยชน์กองทัพบก และประเทศชาติ ทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ต่อมาเมื่อ ๒๐ พ.ย.๒๘ พล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารบก กระทำพิธีเปิดอาคารถาวร ให้กับหน่วย กองพันทหารราบที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๗ ส่วน กรมทหารพรานที่ ๓๖ ในขณะนั้น ให้ เคลื่อนย้าย กรมทหารพรานที่ ๓๖ ซึ่งมีที่ตั้ง บ.โป่งดอยช้าง หมู่ที่ ๑๓ ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เข้าที่ตั้งชั่วคราว
ค่ายเทพสิงห์ บ.ห้วยหลวง หมู่ที่ ๖ ต.บ้านกาศ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อดูแลรักษา อาคารสถานที่ ตั้งแต่ ๙ ม.ค.๓๙ ถึง ปัจจุบัน