|
|
คนจีนซึ่งเคยทำเครื่องปั้นดินเผามาก่อนจากเมืองจีน ได้มาริเริ่มทำโอ่ง อ่าง ไห
ขาย |
จีนรุ่นบุกเบิกชื่อ
นายจือเหม็ง
แซ่อึ้งและพรรคพวก
ได้รวบรวมทุนได้
3,000 บาท
ตั้งโรงงานเถ้าเซ่งหลีขึ้น |
เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.
2476 เป็นโรงงานขนาดเล็กบริเวณสนามบินอยู่ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลราชบุรีเดี๋ยวนี้
|
แหล่งดินสีแดงที่ราชบุรีก็ค่อนข้างจะมีคุณภาพเหมือนที่เมืองจีน ดังนั้น
จากเดิมเราใช้โอ่งอ่างไหจากเมืองจีน |
ผู้ริเริ่มก็ทำอ่าง ไห กระปุก และโอ่งบ้างเล็กน้อย ให้ชาวมอญราชบุรีใส่เรือไปเร่ขาย |
การทำโอ่งได้ริเริ่มอย่างจริงจังก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินขาวที่ใช้แต่งลวดลายเดิมได้มาจากเมืองจีน |
ต่อมาได้หาทดแทนจากดินที่ท่าใหม่จันทบุรี และสุราษฏร์ธานี
|
เมื่อกิจการรุ่งเรืองขึ้น
โรงงานจึงขยายกิจการและผลิตโอ่งเพิ่มมากขึ้น |
หุ้นส่วนหลายคนแยกตัวไปตั้งโรงงานเอง
โดยเฉพาะในจังหวัดราชบุรี |
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตโอ่งอยู่ถึง 42 แห่ง
และเป็นโรงงานผลิตเครื่องเคลือบรูปแบบต่าง ๆ ออกไปอีก 17 แห่งตามจังหวัดอื่น ๆ ที่แยกไปจากนี้ คือ ที่อำเภอ |
หาดใหญ่
จังหวัดสงขลา
จังหวัดชลบุรีและในกรุงเทพมหานครบริเวณ
สามเสน
เป็นต้น |
เจ้าของโรงงาน ช่างปั้น
และประชาชนส่วนใหญ่ของจังหวัดราชบุรี
เมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วล้วนเป็นลูกหลานจีน
ดังนั้นช่างปั้นจึงได้คิดคัดเลือกลวดลายที่เป็นมงคล และมี |
ความหมายที่ดี
เพื่อให้เกิดความรู้สุกที่ดีต่อผู้ใช้
นอกเหนือจากความงามเพียงอย่างเดียว
ที่สุดก็ได้เลือกสรรลวดลายมังกร
ซึ่งแฝงและฝังไว้ด้วยความหมายตามความเชื่อ |
คตินิยมในวัฒนธรรมจีน
|
ลวดลายมังกรดั้นเมฆ มังกรคาบแก้ว
และมังกรสองตัวเกี่ยวพันกัน
ล้วนเป็นสัตว์สำคัญในเทพนิยายของจีน เป็นเทพแห่งพลัง แห่งความดี และแห่งชีวิต ช่างปั้นเลือกเอา
|
มังกรที่มี 3 เล็บหรือ
4 เล็บ
เป็นลวดลายตกแต่งโอ่ง
ช่างผู้ชำนาญปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปมังกร
โดยไม่ต้องร่างแบบ
ขีดเป็นลายมังกรด้วยปลายซี่หวี เป็นหนวด
นิ้ว |
เล็บ
ส่วนเกล็ดมังกรหยักด้วยแผ่นสังกะสีแล้วเน้นลูกตาให้เด่นออกมา
|
|
มารู้จักมังกรซิครับ |
พญานาค
|
เป็นชื่อที่คนไทยเรียก |
มังกร
|
เป็นชื่อที่คนจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและญวนใช้เรียก
|
จึงผิดกันเฉพาะรูปร่างหน้าตาและชื่อที่เรียกเท่านั้น
ไทยเราไม่เรียก แล้ง เล่ง หรือ หลง ตามภาษาจีน แต่เรียกมังกร มาจากบาลีสันสกฤตว่า มกร
หรืออย่างไร ก็ไม่ทราบ |
ว่าถึงรูปร่างมกรก็เป็นอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนรูปเล่งของจีน ในหนังสือตำราพิชัยสงคราม
สมัยรัชกาลที่ 2
มีการจัดขบวนทัพข้ามน้ำเรียกว่า
มังกรพยุหะ ก็เขียนรูปมังกรคล้าย |
พญานาค
เพียงแต่เพิ่มเขาและเท้าเข้าไปเท่านั้น บางตัวก็มีเกล็ด บางตัวก็มีลายแบบงู
ความจริงรูปร่างมังกรแบบจีน
คนไทยก็คงเคยเห็นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้วใน |
สมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้เป็นลายประดับตามประตู
และสลักบนแผ่นหินหลายแห่งรูปมังกรของจีนคงจะได้แพร่หลายไปตามภาชนะพวกถ้วยชามโอ่งไห
ดังได้พบบนลายโอ่ง |
สมัยราชวงศ์ถังที่พบในแม่น้ำลำคลอง |
ความจริงแล้วเรื่องของมังกร พญานาค งู ปลา จระเข้
มีเรื่องพัวพันกันชอบกลเรื่องของจีนที่เกิดสมัยที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ไทยแปลคำว่า เล้ง เล่ง หลง เป็น |
พญานาคหมด
ทำให้คนไทยเข้าใจเรื่องดีขึ้น
และไทยก็เอารูปมังกรมาเขียนเป็นเป็นแบบไทย ๆ
คล้ายพญานาคดังกล่าวมาแล้ว |
ในหนังสือประวัติวัฒนธรรมจีนได้กล่าวถึงกำเนิดมังกรไว้เป็นความว่า
มังกรเกิดขึ้นในสมัยอึ่งตี่หรือหวงตี้
ได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายประจำชาติจีน เพราะ |
สมัยโบราณมนุษย์นิยมใช้รูปสัตว์หรือดอกไม้เป็นเครื่องหมายประจำเผ่าของตน
ชาติจีนที่ได้รวมขึ้นเป็นชาติใหม่
จึงควรมีเครื่องหมายประจำชาติใหม่
กษัตริย์อึ่งตี่จึงนำ |
ส่วนต่าง ๆ
ของสัญลักษณ์ที่แต่ละเผ่าเคยใช้มารวมกัน
คือนำหัวของสัญลักษณ์ชนเผ่าวัว ลำตัวของเผ่างู เกล็ดหางของเผ่าปลา เขาของเผ่ากวาง และเท้าของเผ่านก นำ |
ส่วนต่าง ๆ
เหล่านี้มาปรุงเป็นรูปสัตว์ชนิดใหม่ขึ้นเรียกว่า เล้ง หรือมังกร
|
มังกรมีเล็บไม่เท่ากัน
มังกรผู้ยิ่งใหญ่หรือระดับหัวหน้าจะมี 5
เล็บ
และรูปมังกรที่ฉลองพระองค์ของจักรพรรดิจะมีเล็บมากกว่ามังกรธรรมดา คือ ธรรมดามีเพียง
4 เล็บ
|
รูปมังกรที่ฉลองพระองค์ก็จะมี 5 เล็บ
และใช้เป็นเครื่องหมายของราชวงศ์ที่มียศสูงสุดส่วนพวกเจ้าชั้นที่
3 ที่ 4 หรือขุนนางใช้เป็นเครื่องหมายได้เพียงมังกรชนิดชนิด 4
|
เล็บเท่านั้น ส่วนการประดับตกแต่งทั่ว
ๆ ไปก็จะใช้มังกรชนิด
3 เล็บเป็นพื้น มังกรชนิด 5 เล็บนั้นกล่าวว่าเล็บที่ 5 ไม่ได้เรียงกันแบบธรรมดา เล็บที่ 5
จะวางอยู่ตรงกลางฝ่า |
เท้า |
มังกรของจีน
นอกจากจะมีเขาแบบกวางแล้ว
ตัวผู้ยังมีหนวดมีเคราอีกด้วย ตั้งแต่รัชกาล เถาจื่อ แห่งราชวงศ์ถัง
ได้เริ่มใช้มังกร 5 เล็บ
เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ |
|
มังกรมี 3
ชนิด แต่แบ่งหน้าที่เป็น
4 พวก |
จีนได้แบ่งชนิดของมังกรออกเป็น 3
ชนิดด้วยกัน คือ |
หลง
|
เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด
มีนิสัยชอบอยู่บนฟ้า |
หลี
|
เป็นพวกที่ไม่มีเขา
อาศัยอยู่ในมหาสมุทร |
เจียว
|
เป็นพวกมีเกล็ด
อยู่ตามลุ่มหนองหรือถ้ำในภูเขา |
ที่รู้จักกันมากคือ หลง ซึ่งมีส่วนต่าง ๆ ของสัตว์ 9 อย่างดังกล่าวมาแล้ว |
มังกรของจีนมีหน้าที่แบ่งกันทำ 4 พวกด้วยกัน คือ
|
มังกรสวรรค์
|
มีหน้าที่รักษาวิมานเทวดาและค้ำจุนวิมานไม่ให้พังลงมา
|
มังกรเทพหรือมังกรเจ้า
|
มีหน้าที่ให้ลมให้ฝนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์
|
มังกรพิภพ
|
มีหน้าที่กำหนดเส้นทางดูแลแม่น้ำลำธาร
|
มังกรเฝ้าทรัพย์
|
มีหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์ของแผ่นดิน
|
มีเรื่องน่าสังเกตว่า
หน้าที่ของมังกรไปตรงกับหน้าที่ของพญานาค ซึ่งแบ่งออกเป็น 4
พวกเหมือนกัน |
ไทยรู้จักมังกรมาตั้งแต่เมื่อไร |
อย่างต่ำที่สุดก็ พ.ศ.2276
ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
มีรูปมังกรประดับพระเมรุด้วย
แต่รูปร่างจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ
มาเห็นรูป |
ร่างมังกรในตำราพิชัยสงครามสมัยรัชกาลที่
2 กรุงรัตนโกสินทร์ก็เป็นแบบไทย ๆ คือคล้ายพญานาค แต่ไม่มีหงอนสูง มีเขา 2
เขา มีครีบ มีตีน
|
|
ทำไมรูปมังกรจึงต้องมีลูกแก้วด้วย |
ตามตำนานกล่าวว่า
มังกรมีไข่มุกมีค่าเท่ากับทองร้อยแท่งอยู่ในปาก
เมื่อมังกรต่อสู้กันอยู่บนอากาศ ไข่มุกก็ตกลงมาบนพื้นดิน
ต้นเรื่องของมังกรคาบแก้วหรือเล่น |
แก้วจะมาจากเรื่องนี้หรือเปล่าไม่ทราบ
แต่ฟังตามเรื่องแล้วมังกรชอบเพชนนิลจินดามาก
ตามภาพเขียนของจีนถ้าเป็นรูปมังกร 2 ตัวหันหน้าเข้าหากัน ก็จะเป็นรูปกลม ๆ สี |
แดงอยู่ระหว่างมังกรทั้งสองนี้
บ้างก็ว่ารูปกลมแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ |
|
ภูมิใจในคำขวัญ เมืองโอ่งมังกร |
ด้วยพื้นฐานของช่างปั้นซึ่งเป็นลูกหลานของคนจีน
เนื้อดินเหนียวเป็นวัตถุดิบชนิดดี
ช่างติดลายได้นำความสามารถเชิงศิลปะสะท้อนภาพชีวิตตามวัฒนธรรมจีน มา |
ผสมผสานกับเทคนิคการผลิตเป็นอุตสาหกรรม อดีตจากท่าน้ำหน้าเมือง
โอ่งมังกรจะแพร่ไปทั่วตามแม่น้ำลำคลอง ที่เรือขายโอ่งจะผ่านไปได้ จนปัจจุบันนี้
รถบรรทุกสิบล้อ |
จะขนไปขายทั่วประเทศอย่างเนื่อง ไม่ว่าเหนือจรดใต้
จนเป็นที่รู้จักว่าราชบุรีคือเมืองโอ่งมังกร
|
|
เมื่องานกีฬาเยาวชนครั้งที่ 5 และงานมหกรรมของดีเมืองราชบุรี ปี 2532
จังหวัดได้สร้างคำขวัญเพื่อเผยแพร่ให้รู้จักจังหวัดราชบุรี ว่า
|
คนสวยโพธาราม
คนงามบ้านโป่ง
เมืองโอ่งมังกร |
วัดขนอนหนังใหญ่
ตื่นใจถ้ำงาม
ตลาดน้ำดำเนิน |
เพลินค้างคาวร้อยล้าน
ย่านยี่สกปลาดี |
|
ด้วยการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหรมมพื้นบ้านของสำนักงานอุสาหกรรมจังหวัดราชบุรีสามารถพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเซรามิกส์ เช่น
โรงงานเถ้าฮงไถ่ก็หันไปผลิตเครื่อง |
ปั้นดินเผ่าประเภทออกแบบลวดลาย
สวยงามตามความต้องการของลูกค้าผลิตภัณฑ์จากโรงงานนี้ได้
มาตรฐานสามารถส่งออกไปจำหน่าย |
|
ต่างประเทศได้
กรมศิลปากรเคยมาว่าจ้างให้ผลิตเครื่องปั้นดินเผ่าที่มีคุณค่าเพื่อใช้ในงานฉลอง 200 ปี กรุงเทพมหานคร
ถ้วยชามเบญจรงค์เลียนแบบของเก่าก็มีผลิตที่ |
โรงงานรัตนโกสินทร์นักท่องเที่ยวที่ผ่านมาถึงราชบุรีก็อดใจซื้อติดมือกลับไปไม่ได้
ส่วนโรงงานสยามราชเครื่องเคลือบก็พัฒนาการผลิตเป็นแจกัน เลียนแบบเครื่องสังคโลก |
แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมนัก
บางโรงงานก็ก้าวไปไกลหันไปผลิตถ้วยชามและของชำร่วย เช่น
โรงงานเซรามิกส์บ้านโป่ง |
|
ปัจจุบันบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความก้าวหน้าทางเทคนิคและวิทยาการของอุตสาหกรรม มีการประดิษฐ์วัตถุภัณฑ์ใหม่
ๆ
ขึ้นมาใช้แทนไหโอ่งมากขึ้นประกอบ |
กับเริ่มมีปัญหาเรื่องปิดป่าหาฟืนยาก
จนถึงกับต้องตั้งเป็นสมาคมโรงงานสมาชิกต้องร่วมใจกันเสียสละปลูกป่าทดแทนในเขตสัมปทานโดยเฉพาะ
พร้อมกันนั้นต้องหันมาใช้ |
แก๊สช่วยในการเผาไหม้
นับเป็นผลกระทบต่อธุรกิจการค้าของโรงงาน
|
อย่างไรก็ตาม
โอ่งลายมังกรเมืองราชบุรี
คงจะเป็นสินค้าออกของจังหวัดไปอีกนานทีเดียว
|
|
การทำโอ่งมังกรมีด้วยกัน
๕ ขั้นตอน ครับ |
|
|
|
ขั้นตอนที่
๑
การเตรียมดิน
เนื้อดินสีน้ำตาลแดงที่ได้จากท้องนาทั่วไปในจังหวัดราชบุรีเป็นเนื้อดินเหนียวที่มีคุณภาพดีเยี่ยม
มีความละเอียดเหนียวเกาะตัวกันได้ดีนำมาหมักไว้ในบ่อดิน
แช่น้ำทิ้งไว้ ๑
สัปดาห์เพื่อให้น้ำซึมเข้าในเนื้อดินให้ดินอ่อนตัวทั่วถึงกันและเป็นการทำความสะอาดดินไปในตัวด้วย
หลังจากนั้นตักดินขึ้นมากองไว้
แทงหรือตักดินด้วยเหล็กลวดให้เป็นก้อน
นำเข้าเครื่องโม่หรือเครื่องนวดเพื่อให้เนื้อดินเข้ากัน
แล้วใช้เหล็กลวดหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ลวดตัวเก็ง
ตักดินที่โม่แล้วให้เป็นก้อนมีขนาดเหมาะพบกับการปั้นงานแต่ละชิ้นนำมานวด
โดยผสมทรายละเอียดเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้โอ่งมังกรมีเนื้อที่แกร่งและคงทนยิ่งขึ้น |
|
|
|
ขั้นตอนที่
๒
การขึ้นรูปหรือการปั้น แบ่งออกเป็นสามส่วน
คือ
ส่วนขาหรือส่วนกัน
โดยการนำดินที่ผ่านการนวดให้เป็นเส้นแล้วมีความยาวประมาณ
๓๐ เซลติเมตร วางลงบนแผ่นไม้
ซึ่งวางบนแป้น
ก่อนวางต้องใช้ขี้เถ้าโยเสียก่อนเพื่อไม่ให้ดินติดกับแผ่นไม้และสะดวกต่อการยกลง
เนื้อดินส่วนนี้มีลักษณะเป็นก้อนกลมหรือก้อนสี่เหลี่ยมแผ่ออกเป็นวงกลม
เส้นผ่าศูนย์กลางตามขนาดของโอ่งที่ต้องการ
จากนั้นนำดินเส้นมาวางต่อกันเป็นชั้นเรียนกว่า
การต่อเส้น เมื่อปั้นตัวโอ่งและยกลงจากแป้นแล้ว
ตบแต่งผิวด้านนอกและ ด้านใน
โดยการขูดดินที่ไม่เสมอกันออกให้ผิวเรียบ
แล้วใช้ลูบเพื่อให้ผิวเนียนอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนลำตัว
นำตัวขาหรือส่วนก้นที่แห้งพอหมาดมาวางบนแป้นที่มีขนาดเตี้ยกว่าแป้นที่ปั้นส่วนขา
ตบแต่งผิวอีกครั้งด้วยฮุยหลุบและไม้ตี
นำดินเส้นมาวางต่อกันเป็นชั้นสำหรับส่วนสำตัวทำนองเดียวกับส่วนขา
วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางให้ได้ตามต้องการ
ใช้ไม้ต๊าขุดดินและแต่งผิวให้เรียบ
ทิ้งไว้พอหมาด
ส่วนปาก ลักษณะการต่อเส้นคล้ายกับสองส่วนแรก
แป้นมีขนาดเตี้ยลงอีกก่อนจะต่อเส้นต้องตบแต่งผิวส่วนลำตัวและส่วนขาด้วยไม้ต๊าเสียก่อน
ใช้ดินเส้นประมาณห้าเส้นวัดความสูงได้ประมาณ ๗๐
เซนติเมตร ใช้พองน้ำลูบผิวให้เรียบ
จากนั้นใช้ผ้าด้ายดิบชุบน้ำลูบส่วนบน
พร้อมกับบีบหรือกดให้ขึ้นเป็นรูปขอบปากโอ่ง
ใช้ไม้ต๊าตบแต่งให้เรียบเสมอกันอีกครั้งหนึ่ง
ยกไปวางผึ่งให้เป็นระเบียบ เพื่อรอการทำในขั้นต่อไป
สำหรับการยกลงจากแป้นนั้นต้องใช้ช่างปั้นสองคนช่วยกันยกด้วยเชือกหาม
เป็นเชือกที่นำมามัดไขว้กันเป็นวงกลมให้มีขนาดเท่ากับตัวโอ่งพอดี
ปล่อยปลายยาวทั้งสองด้านสำหรับจับยกหาม
สำหรับส่วนปากซึ่งทำไว้เป็นจำนวนมากนั้น
ถ้าทิ้งไว้นานก่อนถึงขั้นตอนการเขียนลายจะทำให้แห้งเกินไป
จึงต้องทำให้อยู่ในสภาพเปียกหมาดๆ อยู่เสมอ
โดยใช้พลาสติกคลุมไว้
การขึ้นรูปโอ่งแต่ละใบใช้เวลาประมาณ ๒๐ - ๓๐
นาที
|
|
|
|
ขั้นตอนที่
๓ การเขียนลาย ก่อนที่จะนำโอ่งมาเขียนลาย
ต้องตบแต่งผิวให้เรียบเสียก่อนด้วยฮุ่ยหลุบและไม้ตี
โอ่งที่ตบแต่งผิวเรียบร้อยแล้วจะต้องนำมาเขียนลายทันทีเพราะถ้าทิ้งไว้เนื้อดินจะแห้งทำให้เขียนลายไม่ได้
สำหรับแป้นที่ช่างใช้เขียนลายนั้นจะต้องเป็นแป้นไม้หมุน
ขณะเขียนลายลงบนตัวโอ่งช่างจะใช้เท้าถีบที่แกนหมุนไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเขียนเสร็จ
วัสดุที่ใช้เขียนลายเป็นดินเนื้อละเอียดผสมกับดินขาวเรียกว่า
ดินติดดอก มีสีนวล
ดินขาวนั้นได้มาจากจังหวัดจันทบุรีหรือสุราษฎร์ธานี
ซึ่งมีคุณภาพดี
เหมาะสำหรับการนำมาเป็นดินติดดอกบนตัวโอ่งราชบุรี
ช่างเขียนลายจะใช้ดินสีนวลนี้ปาดด้วยมือเป็นเส้นเล็กๆ
รอบตัวโอ่งแบ่งเป็นสามตอนหรือสามช่วง
คือช่วงปากโอ่งลำตัวและส่วนเชิงล่างของโอ่ง
ในแต่ละตอนแตะละช่างจะมีลวดลายที่ไม่เหมือนกัน
ช่วงปากโอ่ง นิยมเขียนลายดอกไม้
หรือลายเครือเถา ใช้วีที่เรียกว่าพิมพ์ลาย
นำกระดาษฉลุลายวางทาบบนโอ่งแล้วปาดด้วยดินติดดอก
ใบหนึ่งๆ จะมีประมาณ ๔
ช่วงตัวแบบ
ช่วงลำตัว นิยมเขียนรูปมังกรมีทั้งมังกรดั้นเมฆ
มังกรคาบแก้ว และมังกรสองตัวเกี่ยวกัน
ช่างเขียนลายจะเป็นผู้ที่ชำนาญมาก
ปาดเนื้อดินด้วยหัวแม่มือเป็นรูปร่างมังกรอย่างคร่าวๆ
โดยไม่ต้องมีแบบร่างก่อน
จากนั้นจะใช้ปลายหวีขีดเป็นตัวมังกรใช้ซี่หวีตกแต่งเป็นส่วนหนวด
นิ้วและเล็บสำหรับเกล็ดมังกรใช้สังกะสีที่ตัดปลายหยักไปมาบนตัวมังกร
และเน้นส่วนลูกตาของมังกรให้มีความนูนเด่นออกมา
ช่วงเชิงล่างของโอ่ง
ใช้วิธีการติดลายคล้ายกับส่วนปาก
จากนั้นใช้น้ำลูบที่ลายทั้งหมด
เพื่อให้ลายมีผิวเรียบเสมอกันและลื่น
เป็นการเตรียมสู่ขั้นตอนการเคลือบและเผาต่อไปโอ่งแต่ละใบช่างผู้ชำนาญจะใช้เวลาการเขียนลายประมาณ
๑๐ นาที
|
|
|
|
ขั้นตอนที่
๔
การเคลือบ
น้ำยาที่ใช้ในการเคลือบเป็นส่วนผสมของขี้เถ้าและน้ำโคลนหรือเลนและสีเล็กน้อย
ซึ่งเป็นสีที่ได้จากออกไซด์ของเหล็ก
ส่วนใหญ่มีสีน้ำตาลเข้มการเคลือบจะนำโอ่งไปวางหงายในกระทะขนาดใหญ่
หรือกระทะในบัว
ใช้น้ำยาเคลือบเทราดให้ทั่วทั้งด้านในและด้านนอก
แล้วจึงนำไปวางผึ่งลมไว้ โอ่งที่เคลือบน้ำยานั้น
นอกจากจะทำให้เกิดสีสันสวยงานเป็นมันเมื่อเผาแล้ว
ยังช่วยในการสมานรอยต่างๆ ในเนื้อดินให้เข้ากัน
เมื่อนำไปใส่น้ำจะไม่ทำให้น้ำซึมออกมาด้านนอกด้วย |
|
|
|
ขั้นตอนที่
๕ การเผา
เตาเผาโอ่งมังกรเรียกว่า เตาจีนหรือเตามังกง
ก่อด้วยอิฐทนไฟเป็นรูปยาว
ด้านหัวเตาเจาะเป็นช่องประตูสำหรับเป็นทางลำเลียงโอ่งและภาชนะดินเผาอื่นๆ
ด้านบนของเตาทั้งสองด้านเจาะรูเป็นระยะ เรียกว่า
ตา
เพื่อใช้ใส่เชื้อเพลิงคือฟืนปัจจุบันใช้ฟืนไม้กระถิน
ลักษณะของเตามังกรนี้ด้านหนึ่งอยู่ระดับเดียวกับพื้นดินใช้เป็นหัวเตาสำหรับก่อไฟ
อีกด้านหนึ่งสูงกว่าเพราะต้องทำให้ตัวเตาเอียงลาด
เป็นส่วนก้นของเตา
ใช้เป็นปล่องระบายควัน
ก่อนการสำเลียงโอ่งเข้าเตาเผา
ต้องเกลี่ยพื้นเตาในให้เรียบเสมอกันก่อนแล้วจึงจัดวางโอ่งให้เป็นระเบียบ
การวางโอ่งซ้อนกันจะมีแผ่นเคลือบเรียนว่า กวยจักร
เป็นตัวรองไว้
นอกจากตัวโอ่งแล้วถ้ายังมีที่ว่างเหลือก็จะนำไห ชาม
กระถาง ที่มีขนาดเล็กมาวางเผาพร้อมกัน
สำหรับภาชนะขนาดเล็กมีดินรองที่ปากซึ่งเป็นดินเหนียวผสมทราย
เมื่อลำเลียงโอ่งเข้าประตูเตาแล้ว
ก่อนเผาจะต้องใช้อิฐปิดทางให้มิดชิด
เพื่อมิให้ความร้อนระบายออกได้
เตาขนาดใหญ่สามารถจุโอ่งได้คราวละ ๓๐๐ ๔๐๐ ใบ
หรือสามารถนำออกบรรทุกรถขนาดใหญ่ได้เตาละ ๕
คัน
การจุดไฟต้องเริ่มจุดที่หัวเตาก่อน
เมื่อติดดีแล้วทยอยใส่ฟืนที่ช่องเตาทั้งสองด้าน
ความร้อนในเตาต้องมีอุณหภูมิถึง ๑,๒๐๐0
การดูว่าโอ่งนั้นเผาสุกได้ที่หรือยังต้องดูตามช่องใส่ฟืนและต้องดูจากชั้นต่ำสุดก่อน
หากยังไม่สุกดีก็ต้องเติมไฟลงไปอีก
ถ้าสุกดีแล้วก็ใช้อิฐปิดช่องนั้น
และดูช่องถัดไปตามลำดับด้วยวิธีเดียวกัน
จนกว่าจะสุกทั่วทั้งเตาจึงเลิกใส่ฟืน
แล้วปล่อยให้ไฟดับเอง ทิ้งไว้ประมาณ ๑๐
๑๒ ชั่วโมง
ความร้อยในเตาจะค่อยลดลงจนสามารถเปิดช่องประตูเตานำโอ่งออกมาได้
วันหนึ่งๆ
มีโอ่งมังกรนับหมื่นใบถูกลำเลียงออกไปขายทั่งประเทศ
จากเส้นทางสัญจรทางน้ำมาเป็นทางหลวงแผ่นดิน
โอ่งมังกรก็สามารถไปไกลทั่วทุกภาคของประเทศบางครั้งไปถึงต่างประเทศในเอเชีย
เป็นการนำมาซึ่งรายได้มหาศาลแก่ประเทศชาติ
|
|
|
กลับหน้าแรก |
| |